กาฬสินธุ์วิบากกรรมชาวนาปัญหารุมเร่งเก็บเกี่ยวข้าวหนีฝนหลงฤดู

ผลกระทบจากความกดอากาศสูงปกคลุมภาคตะวันออกเฉียงเหนือ รวมทั้งพื้นที่จังหวัดกาฬสินธุ์ ทำให้มีฝนตกกระจายลงมาครอบคลุมเป็นบริเวณกว้าง สร้างความเดือดร้อนให้กับชาวนาและเมล็ดข้าวเปลือก ที่นำไปผึ่งแดดเพื่อชะลอการขายได้รับความเสียหาย จากราคาขายตกต่ำซ้ำค่ารถเกี่ยวแพง ยังต้องเจอกับฝนหลงฤดูรบกวน เสี่ยงถูกน้ำท่วม เมล็ดข้าวอับชื้น เกิดเชื้อรา เมล็ดข้าวงอก คุณภาพข้าวเสียหายซ้ำอีก

วันที่ 18 พฤศจิกายน 2568 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากการติดตามบรรยากาศการเก็บเกี่ยวผลผลิตข้าวนาปีของชาวนา ในพื้นที่ จ.กาฬสินธุ์ช่วงนี้ พบว่ากำลังเร่งเก็บเกี่ยวกันเต็มพื้นที่ โดยการจ้างรถเกี่ยวในอัตราไร่ละ 800 บาท ซึ่งเป็นการเก็บเกี่ยวท่ามกลางสายฝนที่ตกลงมาเป็นระยะ เป็นอุปสรรคสำคัญในการเก็บเกี่ยว ข้าวในปีนี้ แต่ก็เป็นเรื่องที่หลบเลี่ยงไม่ได้ เนื่องจากเป็นเรื่องของภัยธรรมชาติ ที่เรียกว่าฝนหลงฤดู

นายสุดใจ ภูดีแก้ว อายุ 85 ปี ชาวนาบ้านปลาเค้าน้อย หมู่ 6 ต.ลำคลอง อ.เมือง จ.กาฬสินธุ์ กล่าวว่า ตลอดชีวิตที่ผ่านมา เพิ่งจะเห็นว่ามีปีนี้เป็นปีแรก ที่มีฝนหลงฤดูตกลงมาในช่วงเก็บเกี่ยวข้าวนาปี โดยพบว่ามีฝนตกลงมาพร้อมกันในหลายพื้นที่ของประเทศไทย ทั้งๆที่น่าจะเข้าสู่ฤดูหนาว แต่กลับมีฝนหลงฤดูตกลงมา สร้างความเสียหายให้กับเมล็ดข้าวที่กำลังได้อายุเก็บเกี่ยว รวมทั้งที่ยังไม่เก็บเกี่ยวและเก็บเกี่ยวเสร็จแล้ว ทั้งนี้ ได้ยินข่าวว่าหลายจังหวัดฝนตกหนัก ท่วมทั้งต้นข้าวที่ยังไม่เก็บเกี่ยว และเอ่อขังลานตากข้าวของชาวนา ได้รับความเสียหายเป็นจำนวนมาก จากใจหัวอกชาวนาด้วยกัน ทำให้รู้สึกเศร้าใจไปกับเพื่อนชาวนาที่ประสบปัญหาในขณะนี้

 

นายสุดใจกล่าวอีกว่า สำหรับชาวนาพื้นที่ จ.กาฬสินธุ์ที่ยังไม่เก็บเกี่ยวและกำลังเก็บเกี่ยว รวมทั้งที่อยู่ระหว่างผึ่งเมล็ดข้าวเปลือก ตกอยู่ในภาวะประสบวิบากกรรมไม่ต่างกัน ถึงแม้ว่าฝนจะตกระหว่างจ้างรถเก็บเกี่ยวก็ต้องเก็บเกี่ยว เพราะรวงข้าวที่กำลังแก่อาจจะเจอฝนหนักกว่านี้ ที่จะทำให้รวงข้าวหัก หรือต้นข้าวล้มทับถมจมน้ำ ได้รับความเสียหายกว่าเดิม และรถเกี่ยวข้าวซึ่งมีจำนวนน้อย ไม่เพียงพอกับความต้องการ เพิ่งมีคิวมาเกี่ยวให้ในวันนี้ จึงต้องเสี่ยงเกี่ยวข้าวแล้วนำเมล็ดข้าวเปลือกไปเก็บไว้ในที่ปลอดภัย โดยหาวัสดุปกคลุมไว้เพื่อกันน้ำกันความชื้น

 

“อย่างไรก็ตาม ยังมีชาวนาอีกหลายคน ที่กำลังทำการผึ่งเมล็ดข้าวเปลือกเพื่อชะลอการขาย กลับต้องมาเจอกับฝนหลงฤดู ขนย้ายเมล็ดข้าวหนีไม่ทัน ก็ต้องทำการป้องกันโดยหาผ้ายางมาคลุมไว้ ส่วนใครที่มีแรงงานในครัวเรือนหลายคน ก็ช่วยกันขนย้ายข้าวหนีฝนได้ทันท่วงที ทั้งนี้ หากขนย้ายหนีไม่ทันก็จะทำให้เมล็ดข้าวได้รับความเสียหาย เช่น ถูกน้ำท่วม ถูกกระแสน้ำพัดเมล็ดข้าวเปลือกไหลหนี หรือหากเก็บใส่ถุงนานหลายวัน โดยเมล็ดข้าวเปลือกยังไม่แห้ง ก็อาจจะทำให้เมล็ดข้าวเปลือกเป็นสีดำ เกิดเชื้อราเพราะอับชื้น หรือเมล็ดที่แห้งแล้วเกิดการงอกได้ กลายเป็นเมล็ดข้าวด้อยคุณภาพ ไม่มีใครรับซื้อ” นายสุดใจกล่าว

 

นายสุดใจกล่าวเพิ่มเติมว่า ความเดือดร้อนที่ชาวนาประสบในช่วงนี้ นับเป็นปัญหาที่รุมเร้ารอบด้าน เริ่มจากต้นทุนการผลิตสูง ภัยธรรมชาติ และค่าจ้างรถเกี่ยวข้าวแพงถึงไร่ละ 800 บาท ขณะที่ราคาขายข้าวเปลือกยังตกต่ำ ตรึงราคาอยู่ที่ กก.ละ 6-7 บาท ซึ่งทำให้ประสบปัญหาขายข้าวขาดทุน แถมยังมาเจอกับฝนหลงฤดู และผลกระทบที่อาจจะตามมาคือข้าวอับชื้น เกิดเชื้อรา เมล็ดดำหรืองอกดังกล่าว สำหรับตนในช่วงนี้ ก็คงได้แต่รอวันที่ฝนหลงฤดูจะหนี และรอวันที่มีแสงแดด เพื่อจะนำข้าวเปลือกเหนียวที่เกี่ยวสดซึ่งเก็บใส่ถุงหนีฝน ออกมาผึ่งแดด โดยจะเก็บไว้เป็นอาหารในครัวเรือน ดีกว่าจะนำไปขายแล้วขาดทุน

 

Related posts