แพทย์ทหารเตือนภัย “ฝุ่น PM2.5 ภัยเงียบคร่าชีวิต” ป้องกันโดยยึดหลัก“หลีก ปิด ใช้ เลี่ยง ลด”

จากข้อมูลกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข พบว่า ปัจจุบันฝุ่น PM 2.5 มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องทั่วทั้งประเทศ ซึ่งมีสาเหตุเกิดจากการเผาป่า และไฟป่า มลพิษ ควันจากท่อไอเสียของรถยนต์ โรงงานอุตสาหกรรม การก่อสร้าง ซึ่งส่งผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชนโดยเฉพาะกลุ่มเสี่ยง ได้แก่ 1) เด็กเล็ก คือ เด็กแรกเกิด – 5 ปี เนื่องจากระบบป้องกันและภูมิคุ้มกันของร่างกายยังพัฒนาได้ไม่ดีเหมือนผู้ใหญ่ 2) หญิงตั้งครรภ์ โดยเฉพาะอายุครรภ์ 6 เดือนแรก อาจส่งผลกระทบต่อทารกในครรภ์ที่กำลังพัฒนาอวัยวะต่างๆ ส่งผลกระทบในระยะยาว รวมถึงการคลอดก่อนกำหนด และทารกแรกคลอดมีน้ำหนักต่ำกว่าเกณฑ์ 3) ผู้สูงอายุ โดยเฉพาะผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น โรคระบบหัวใจและหลอดเลือด โรคระบบทางเดินหายใจ 4) ผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น โรคภูมิแพ้ โรคหัวใจและหลอดเลือด โรคปอด โรคหอบหืด และ 5) ผู้ที่ทำงานกลางแจ้ง เช่น พนักงานทำความสะอาดถนน คนขับขี่รถโดยสารสาธารณะ พนักงานส่งอาหาร /พัสดุ แม่ค้าหาบเร่แผงลอย เป็นต้น

ซึ่งผลกระทบของฝุ่น PM 2.5 จะเพิ่มระดับความรุนแรงต่อสุขภาพร่างกายของเรา จากการสะสมของฝุ่นละอองภายในปอดเป็นระยะเวลายาวนาน โดยระดับของอาการจะรุนแรงแตกต่างกัน ดังนี้.-
1. ไอ จามและภูมิแพ้ : พบได้เมื่อมีฝุ่นละอองเข้าไปสะสมในโพรงจมูก ทำให้เกิดการระคายเคืองในจมูกและลำคอ มีเสมหะ ไอ จาม โดยเฉพาะผู้ที่ป่วยเป็นโรคภูมิแพ้จะมีอาการภูมิแพ้กำเริบได้ง่ายกว่าคนทั่วไป
2. โรคทางเดินหายใจเรื้อรัง : พบได้ในกรณีที่เป็นอาการไอต่อเนื่องนาน 3-8 สัปดาห์ขึ้นไป มีเสมหะเป็นสีขาว สีเหลือง หรือมีเลือดปน นอกจากนี้จะรู้สึกเหนื่อยเพิ่มมากขึ้น กระทบต่อการทำกิจกรรมในชีวิตประจำวัน
3. โรคหลอดเลือดและหัวใจเรื้อรัง : พบได้ในกรณีที่ฝุ่นละอองเกิดการติดเชื้อเข้าสู่กระแสเลือด อาจทำให้เกิดการอุดตันในหลอดเลือดและผนังหัวใจ อาการที่พบคือ มีอาการเจ็บหน้าอก เหงื่อออก ใจสั่น เหนื่อยหรือแน่นขณะออกแรง ซึ่งอาจทำให้เป็นลม หมดสติ หรือเสียชีวิตได้
4. โรคปอดเรื้อรัง และมะเร็งปอด : พบได้ในกรณีที่สูดเอาฝุ่นละออง PM 2.5 สะสมเข้าไปเป็นระยะเวลานาน ทำให้มีอาการไอเรื้อรัง มีเสมหะมากหมดเรี่ยวแรง หายใจลำบาก เหนื่อยหอบ ซึ่งอาจรุนแรงและกลายเป็นเซลล์มะเร็งที่อาจลุกลามไปทั่วปอด เกิดเป็นโรคมะเร็งปอดได้

ในการนี้ พลโท วรเทพ บุญญะ แม่ทัพภาคที่ 3/ผู้บัญชาการศูนย์บรรเทาสาธารณภัย กองทัพภาคที่ 3 และคณะแพทย์ทหาร จึงมีความห่วงใยต่อข้าราชการทหาร ในสังกัดกองทัพภาคที่ 3 และพี่น้องประชาชน ในพื้นที่ 17 จัดหวัดภาคเหนือ ต่อภัยดังกล่าว จึงขอแนะนำประชาชนในการป้องกันตนเองจากฝุ่น PM 2.5 โดยยึดหลัก “หลีก ปิด ใช้ เลี่ยง ลด” คือ หลีก : หลีกเลี่ยงการสัมผัสฝุ่น โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบาง ปิด : ประตูหน้าต่างให้มิดชิด ใช้ : หน้ากากป้องกันฝุ่น PM 2.5 ทุกครั้งเมื่อออกนอกอาคาร เลี่ยง : การทำกิจกรรมกลางแจ้ง หรือการเข้าไปในสถานที่ที่มีฝุ่นละอองสูง เป็นเวลานาน (มากกว่า 8 ชั่วโมงต่อวัน) ลด : กิจกรรมที่ก่อให้เกิดฝุ่น เช่น จุดธูป เผากระดาษ เตาปิ้งย่างที่ทําให้เกิดควัน การเผาใบไม้ เผาขยะ เผาพืชผลทางการเกษตร รวมถึงการติดเครื่องยนต์ในบ้านเป็นเวลานาน ทั้งนี้ หากพบว่าตนเองหรือคนรอบข้างมีอาการบ่งชี้ หรือสงสัยว่ามีภาวะหรืออาการดังกล่าว ควรรีบไปพบแพทย์โดยเร็ว โดยสามารถเข้ารับบริการได้ที่โรงพยาบาลทหารทั้ง 10 แห่งในพื้นที่ภาคเหนือ
จึงขอเรียนให้พี่น้องประชาชน ในพื้นที่ 17 จังหวัดภาคเหนือทราบ เพื่อให้เกิดความมั่นใจได้ว่า กองทัพภาคที่ 3 โดย โรงพยาบาลทหารทั้ง 10 แห่งในพื้นที่ภาคเหนือ พร้อมที่จะให้การช่วยเหลือประชาชน ในยามวิกฤตทุกโอกาส
ปรีชา นุตจัรส รายงานข่าว





Users Today : 473
Users Yesterday : 661
Total Users : 8995363
Total views : 41266607
Who's Online : 0