
ราชบุรี-คนร้ายปีนเข้าบ้านถูกเจ้าของบ้านจับได้แต่ถูกญาติเตรียมแจ้งกลับทำเกินกว่าเหตุ
คนร้ายปีนเข้าบ้านถูกเจ้าของบ้านจับได้เกิดอาการคลั่งจึงได้ปีนเข้ามาทุบทำลายข้าวของเสียหาย จึงอยากให้ดำเนินคดีกับชายคนนี้แต่ถูกญาติคนร้ายจะแจ้งทำเกินกว่าเหตุ
จากกรณีที่มีผู้ใช้เฟสบุ๊คชื่อ มิตะ มิตา ได้โพสต์ข้อความว่า เมื่อวานที่โพสต์เรื่องคนเมายาบ้าบุกเข้าบ้านตอนตีสาม รอ ตร ไม่ไหว ต้องไปจับเอง คนช่วงชลมุน ทั้งพ่อทั้งคนร้ายซัดกันนัวในบ้าน กว่าจะจับมันมัดได้ ฟันพ่อหักไป1ซี่ ตามเนื้อตัวมีแต่แผลถูกคนร้ายเอาไม้ตี. คนร้ายถูกนำส่งไปทำแผล ตร มาไม่ทันรถมูลนิธิมาไวกว่า ตอนนี้คนร้ายกลับมาอยู่บ้านละ ทางญาติเขาไม่สลด จะมาแจ้งความเจ้าของบ้านอีก #สังคมสมัยนี้คิดว่าบ้านมีอิทธิพลก็จะทำผิดกฎหมายได้รึไง #สภาพของในบ้านที่คนร้ายทำลายข้าวของพังหมด #โพธารามบ้านฉัน #หนองกลางดง #ตำบลชำแระ
ซึ่งในวันนี้(17 เม.ย.68 ) ผู้สื่อข่าวได้ไปพูดคุยกับเจ้าของเฟสบุ๊คดังกล่าวเพื่อจะสอบถามถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้น ซึ่งทราบชื่อว่า นางสาวมินตรา พุ่มปรึกษา อายุ 38 ปี อยู่บ้านเลขที่ 159 ม.6 ต.ชำแระ อ.โพธาราม จ.ราชบุรี ที่กำลังไปแจ้งความเพิ่มเติมในกรณีดังกล่าว โดยแจ้งข้อหากับผู้บุกรุกเข้าไปในบ้าน ว่าทำร้ายร่างกายนายแก้ว พุ่มปรึกษา อายุ 59 ปี ซึ่งเป็นพ่อ หลังจากที่เกิดเรื่องเมื่อช่วงเช้ามืดของวันที่ 15 เม.ย.68 ที่ผ่านมาและได้แจ้งข้อหาบุกรุกยามวิกาลไปแล้ว
โดยนายแก้ว ได้เล่าให้ฟังว่าเมื่อช่วงเวลาประมาณ03.00 น. ของวันที่ 15 เม.ย.68 ที่ผ่านมาขณะกำลังนอนหลับได้ยินเสียงน้องสาวมาเรียกบอกว่ามีขโมยเข้ามาในบ้าน จึงได้ออกมาดูก็พบว่าด้านในบ้านนั้นมีเสียงคนทุบทำลายข้าวของอยู่ จึงได้ปีนรั้วเข้าไปในบ้านเพราะไม่มีกุญแจหน้าบ้าน เพราะบ้านหลังนี้เป็นของลูกสาว และลูกสาวก็เป็นคนเก็บกุญแจไป และเมื่อปีนรั้วเข้าไปในบ้านก็ถูกคนร้ายที่ปีนเข้ามาก่อนนั้นใช้ไม้กระหน่ำตีตนเอง เนื่องจากตนเองนั้นมองไม่เห็นคนร้ายเพราะก่อนจะปีนเข้าไปในบ้านนั้นคนร้ายได้ทุบตีดวงไฟที่หน้าบ้านแตกทั้งหมดทำให้มืดมองไม่เห็น จากนั้นก็เกิดการต่อสู้กับคนร้าย จนสามารถจับคนร้ายและมัดมือไว้ได้ ซึ่งทำให้ตนนั้นได้รับบาดเจ็บหลายแห่งวันนี้จึงมาตรวจร่างกายที่โรงพยาบาลโพธาราม เพื่อขอใบรับรองแพทย์ในการนำมาประกอบเพื่อจะแจ้งความเอาผิดกับคนร้ายเพิ่มอีกคคี คือทำร้ายร่างกาย ซึ่งคนร้ายนั้นก็เป็นเครือญาติกันแต่น่าจะเกิดอาการคลั่งจึงได้ปีนเข้ามาทุบทำลายข้าวของ ซึ่งก่อนหน้านี้ก็ไปทำลายข้าวของบ้านอื่นด้วย จึงอยากให้ดำเนินคดีกับชายคนนี้เพื่อไม่ให้ออกมาทำร้ายคนอื่นอีก เพราะหากปล่อยให้อยู่ในสังคมก็จะอันตราย และทราบมาว่าทางญาติของคนร้ายนั้นจะแจ้งความกลับตนเองด้วยที่ไปทำร้ายร่างกาย ซึ่งตนนั้นยืนยันได้ว่าช่วงที่กอดรัดฟัดเหวี่ยงกันนั้นก็ไม่ทราบว่าคนร้ายไปโดนอะไร หรือมีบาดแผลมาก่อนที่เข้ามาทุบทำลายข้าวของที่บ้านของตนเองหรือไม่ แต่ตนแค่ต้องการปกป้องทรัพย์สินของตนเองและเป็นการต่อสู้กันตัวต่อตัวไม่มีใครมารุมทำร้ายและไม่มีอาวุธ
ด้านนางสาวมินตรา พุ่มปรึกษา ก็บอกว่าช่วงที่เกิดเหตุน้าสาวโทรไปบอกว่าคนร้ายเข้ามาทุบข้าวของภายในบ้าน และพ่อของตนเองนั้นกำลังต่อสู้กับคนร้าย จึงได้รีบขับรถกลับมาที่บ้าน เมื่อไขกุญแจบ้านเข้าไปก็พบว่าพ่อจับคนร้ายมัดมือไว้แล้ว ตนจึงได้แจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจแต่ทางกู้ภัยมาถึงก่อนและนำตัวคนร้ายส่งโรงพยาบาลเพราะมีบาดแผลหลายแห่งและไม่รู้ว่าบาดแผลนั้นเกิดจากอะไรหรืออาจจะมีบาดแผลมาก่อนที่จะปีนเข้ามาในบ้านของตนเอง เพราะที่ผ่านมาชายคนนี้ซึ่งเป็นญาติห่างๆกันก็อาละวาดไปทั่ว ล่าสุดช่วงเย็นก่อนจะเกิดเหตุมาก็รื้อทำลายถังขยะหน้าบ้าน ซึ่งตนนั้นก็ได้แจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจแล้ว หลังเกิดเหตุได้ไปแจ้งความข้อหาบุกรุกในยามวิกาลไว้แล้ว แต่พอทราบว่าทางญาติของคนร้ายจะมาแจ้งความกลับว่า พ่อของตนทำเกินกว่าเหตุทำให้คนร้ายได้รับบาดเจ็บ ซึ่งขณะนี้คนร้ายก็กลับมาอยู่บ้านแล้ว ทำให้ตนกับพ่อต้องมาแจ้งความเพิ่ม ในข้อหาทำร้ายร่างกาย เพื่อจะได้ให้ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจดำเนินคดีให้ถึงที่สุดเพราะหากปล่อยไว้ก็จะทำให้ชาวบ้านในระแวกนี้หวาดกลัว และที่ผ่านมาชายคนนี้ก็เคยไปทำร้ายร่างกายชาวบ้านมาแล้ว แต่ทางญาติๆมาช่วยเคลียร์ให้เรื่องจึงจบ ซึ่งตนนั้นไม่เชื่อว่าคนร้ายนั้นจะเป็นผู้ป่วยจิตเวชเพราะหากป่วยจริงญาติก็จะต้องนำไปรักษา และในช่วงที่ปีนเข้ามาทุบทำลายข้าวของในบ้านของตนซึ่งติดกล้องวงจรปิดไว้หลายตัว ก็มีการดึงสายไฟออกทำให้กล้องไม่ทำงานและยังนำซิมการ์ดกล้องออกไปด้วย ซึ่งเชื่อว่าถ้าเป็นผู้ป่วยจิตเวชจริงก็อาจจะไม่คิดได้ขนาดนี้ จึงอยากให้มีการดำเนินคดีกับชายคนนี้ด้วย